เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โลกว่ากองทัพเดินด้วยท้อง กองทัพนี่จะเดินด้วยท้องต้องอาศัยอาหารเป็นเครื่องดำเนิน อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราคิดถึง เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ บวชพระด้วย แต่ก็ต้องอาศัยสิ่งนี้เหมือนกัน อาศัยอาหารเป็นเครื่องดำเนิน แต่พระพุทธเจ้าบอกเลย สิ่งนั้นมันเป็นคุณประโยชน์มาก ประโยชน์เพราะเราใช้เพื่อดำรงชีวิต เอาชีวิตนี้เพื่อแสวงหาธรรม แล้วสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ ถ้าโลกมองไม่เห็นนี่ โลกจะมองเห็นว่า อาหารนี้เป็นประโยชน์
แล้วเวลาพระอดอาหาร เห็นไหม ว่าสิ่งนี้เป็นโทษ เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นโทษได้อย่างไร อาหารนี้เป็นประโยชน์ ร่างกายต้องอาศัยอาหารเป็นเครื่องดำเนิน แล้วถ้าขาดสิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ดูอย่างหลวงปู่มั่นสิ ท่านพิจารณาอาหาร อาหารให้เป็นประโยชน์กับร่างกายส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเวลาเราฉันมากเกินไป เรากินมากเกินไป สิ่งที่เหลือในอาหารนั้น สิ่งที่เหลือพลังงานที่เหลือในร่างกายนั้นมันจะเป็นโทษกับการภาวนาไง
เวลาเรานั่งกัน เราพยายามทำความสงบของใจ แล้วเวลานั่งแล้วมันไม่สงบขึ้นมานี่ เพราะเหตุใด? เพราะว่าสิ่งนี้มันทับธาตุขันธ์ คำว่า ธาตุขันธ์ ไม่ใช่ใจ มันทับหัวใจได้ หลวงปู่มั่นเวลาท่านพิจารณาอาหารจนเห็นเม็ดข้าวนี่เป็นตัวหนอนเลย เพราะอะไร? เพราะจิตของท่านสงบ จิตของท่านเป็นธรรม เวลาถ้าเห็นสภาวะแบบนั้น เห็นเม็ดข้าวนี่เหมือนกับตัวหนอนเลย มันเคลื่อนไหวได้ขนาดนั้น แล้วมันจะเพลิดเพลินในรสของอาหารได้อย่างไร เห็นไหม
ใช่อยู่...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาหารนี่เป็นประโยชน์กับร่างกาย แต่ถ้าเราเพลินไปกับเขา เราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เราเพลิน นี่เหรียญมี ๒ ด้านตลอดไป สิ่งที่เป็นประโยชน์มันก็มีโทษในตัวมันเอง สิ่งที่เป็นโทษ เห็นไหม ในเกิดภาวะสงครามก็เกิดมหาเศรษฐีขึ้นมาในสงครามนั้นได้ เพราะเขาใช้สิ่งที่ว่าเขามีเหรียญฝั่งตรงข้าม
นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นประโยชน์มันก็มีโทษสำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สำหรับคนที่ว่ามันแสลงกับโรค เวลาเราเป็นโรคขึ้นมา อาหารนั้นแสลงกับโรคนั้น สิ่งนั้นก็เป็นโทษได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ถ้ามันเป็นประโยชน์เราก็ใช้เป็นประโยชน์ไป แต่สิ่งที่เป็นโทษเราต้องเห็นสภาวะเป็นโทษ แล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์น่ะเราค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นโทษขึ้นมา ให้ใจไม่ยึดสิ่งนั้นไง กองทัพเดินด้วยท้อง แต่ถ้ากองทัพนั้นไม่มีขวัญไม่มีกำลังใจ กองทัพนั้นจะต่อสู้กับข้าศึกได้อย่างไร กองทัพนั้นจะชนะข้าศึกได้กองทัพนั้นต้องมีขวัญมีกำลังใจ
นี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ในชาวพุทธของเรา ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธสอนว่าให้ปล่อยวาง โลกเขาว่ากันแบบนั้น แต่เขาไม่ศึกษา เขาไม่มีปริยัติ ถ้ามีปริยัติ พระพุทธเจ้าสอนถึงว่าอริยสัจ ศาสนาพุทธสำคัญตรงไหน? สำคัญที่ว่าอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคคืออะไร ความเป็นไปเป็นอะไร นี่สมบัติ สิ่งที่ซุกซ่อนไว้ในศาสนา
ในประเพณีวัฒนธรรม จารีตประเพณีนี่มันเหมือนกฎเหล็กเลย เวลาผิดกฎหมายเขาจับกัน แต่ถ้าสังคมเขาทำอย่างนั้น เราไม่ทำไปกับกระแสสังคมเราเหมือนกับเข้าสังคมนั้นไม่ได้ จารีตประเพณีนั้นมันก็มีสิ่งที่ว่าเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่เกิดในศาสนา เป็นเรื่องของใจ อริยทรัพย์ทรัพย์ของใจนี้ซุกซ่อนอยู่ในนั้น
ถ้าเราเห็นสภาวะแบบนั้น เราค้นคว้าสิ่งนั้นออกมาได้ ความหมายหมายเพื่ออะไร? ทำสิ่งนั้นกันเพื่ออะไร? นี่สภาวธรรมจะเกิดขึ้นกับหัวใจคือสภาวะที่ว่ามันรู้แจ้ง สิ่งที่รู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ ปกปิดใจไว้ ถ้าเราปกปิดใจไว้ เห็นไหม กองทัพต้องมีขวัญมีกำลังใจ เราก็ต้องมีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อนะ นี่ทุกข์ยากเวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม เราทรมานร่างกายของเรา เราทรมานของเรา เราทรมานตนไง
เวลาพระไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จมานี่ พระพุทธเจ้าถามว่า ใครเป็นคนทรมาน? ครูบาอาจารย์นี่ทรมาน ทรมานคือว่าพยายามสร้าง ทรมานกิเลสไม่ได้ทรมานธรรม กิเลสมันคิดตามประสาของมัน เหมือนกับมันคิด เห็นไหม ถ้าเราจะอดนอนผ่อนอาหารนี่ เดี๋ยวเราตายนะ ธาตุขันธ์เราจะเป็นพิการไปนะ มันจะคิดสภาวะของมันสภาวะแบบนั้น
แต่ไม่ได้คิดมุมกลับเลย เวลาเขาเล่นเพลินกันในเกมในการดูทีวีนี่ เขาอยู่กันทั้งวัน ๆ เขาทำไมร่างกายไม่เห็นเป็นไป เพราะอะไร? เพราะมันเพลินกับสภาวะสิ่งนั้น มันไม่คิดเลย แต่เวลาเราจะนั่งสมาธิ เราจะภาวนานี่ ร่างกายจะเป็นแบบนั้น อดอาหารไปจะเป็นแบบนี้ นี่มันคิดสภาวะของมันไป นี่กิเลสมันหลอกสภาวะแบบนั้น
แต่ถ้าเรามีกำลังใจขึ้นมา มีปัญญาขึ้นมา เราจะพลิกแพลงได้เลย เรากินตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันนี้ มันก็ไม่เห็นมีคุณค่าขนาดไหนเลย แต่ถ้าเราจะอดบ้าง ผ่อนบ้าง เพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับใจ เวลาพลังงานมันเหลือใช้นี่มันจะทำให้เราง่วงเหงาหาวนอน เราไม่คิดเลย เวลาเขาขับรถกันนี่ ตาเขาสว่างอยู่แต่เขาหลับใน เห็นไหม
นั่งสมาธิก็เหมือนกัน เรานั่งอยู่ เราไม่ได้นอนหรอก แต่ทำไมมันหายแวบไปล่ะ ทำไมสติมันหายไป ขาดหายไปเลย สิ่งที่มันหายไปมันไปไหน มันเหมือนกับขับรถหลับในไง แต่นี้ธาตุขันธ์มันมีกำลังของมัน มันเป็นสภาวะแบบนั้น เราจะต่อสู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะ ถ้าง่วงเหงาหาวนอนให้ตรึกในธรรม ให้เอาน้ำลูบหน้า ให้คิดถึงต่าง ๆ ให้สภาวะแบบนั้นแก้สิ่งนี้
พระโมคคัลลานะก็มีอุปสรรคอันนี้เหมือนกัน มันเป็นธรรมชาติของธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ของคนไม่เหมือนกัน บางคนไม่เป็นโทษก็ได้ ถ้าไม่เป็นโทษเขาก็ภาวนาของเขาก้าวเดินไป แต่ถ้าเราเป็นโทษเราต้องสังเกตของเราเอง เวลานั่งภาวนาไปนี่มันเป็นคุณประโยชน์หลายชั้นเลย เช่น เราคิดเลย เวลาเราพิจารณาไปนี่ เราคิดเป็นธรรมว่า เราภาวนาไปมันไม่ได้ผลเพราะอะไร? มันง่วงเหงาหาวนอนเพราะอะไร? ตอนเช้าเรามีสติ เห็นไหม เราฉันอาหารอย่างไรขึ้นไปได้นี่ เราคิดไง
ฉันอาหารแบบใด?
ฉันผัก ฉันเนื้อสัตว์
แล้วร่างกายเป็นอย่างไร?
นี่เราจับตรงนี้เป็นประเด็น เห็นไหม แล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญไป มันจะทำให้เรานี่มีสติ ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะ การกระทำนั้นเป็นความเพียรทั้งหมด เราเดินจงกรม ถ้ามีสติอยู่อันนี้ก็เป็นการเดินจงกรม ถ้าเรามีสติอยู่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ อันนี้จะเป็นความเพียรที่ถูกต้อง เป็นสัมมา แต่ถ้าเราไม่มีสติอยู่ คนเขาเดินเล่น เดินออกกำลังกาย เขาก็ทำเหมือนเราเหมือนกัน เขาก็เดินของเขาทั้งวันเหมือนกัน คนที่เขามีหน้าที่การงานแบบนั้นเขาก็ทำของเขา แต่เขาทำไมไม่ได้ผลของเขาล่ะ?
นี่มันทำสักแต่ว่าทำ เห็นไหม มันต้องย้อนกลับเข้ามา ถ้าย้อนกลับเข้ามานี่ ขวัญกำลังใจของนักรบมันจะเกิด ถ้าขวัญกำลังใจของนักรบมันเกิดนะ มันจะเกิดความสงบ มันจะเกิดความองอาจกล้าหาญ มันจะเกิดความเพียรขึ้นมา ถ้าความเพียรถูกต้องขึ้นมา เราจะย้อนกลับเข้ามา นี่ทวนกระแสเข้าไปที่หัวใจ
ถ้าทวนกระแสเข้าไปที่หัวใจ เห็นไหม นี่นักรบเขาต้องการขวัญกำลังใจ แต่นักปฏิบัติต้องการความสงบของใจ ถ้าใจสงบขึ้นมา นี่กำลังใจมันเกิด เกิดเพราะปัจจัตตังมันเกิดขึ้นมา รสของธรรมชนะรสทั้งปวง เรากินอาหารอร่อยขนาดไหน เราเสพภาพศิลป์ภาพต่าง ๆ เราไปดูนี่มันมีความสุขขนาดไหน แต่เวลามันปัจจัตตังเกิดขึ้นมาจากหัวใจ จิตสงบขึ้นมานี่จิตมันสัมผัสเอง
สิ่งที่สัมผัสเองนี่มันเป็นศรัทธาธรรมดา เป็นอจลศรัทธา ศรัทธาความเชื่อของใจ ใจนั้นมันเชื่อเอง ไม่ต้องมีใครบอก นี่เริ่มต้นจากความเชื่อ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อธรรม มีศรัทธามากเราถึงต้องพยายามประพฤติปฏิบัติ ความเชื่อนี่หัวรถจักรดึงให้เรามีความเพียร ให้เราศรัทธาในศาสนา ความเชื่อนั้นดึงเข้ามา
แต่ความเชื่อนั้นแก้กิเลสไม่ได้ ความจริง เห็นไหม สัมมาสมาธินี่มันปลดเปลื้องจากศรัทธาธรรมดาเป็นอจลศรัทธา ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน แล้วเรายกขึ้นวิปัสสนาให้เห็นความเป็นไปเกาะเกี่ยวของใจ มันจะลึกลับมหัศจรรย์มาก การรบนี่ เวลารบเรารบกับข้าศึก มันมีข้าศึกต่อหน้าแล้วเรารบ แพ้ชนะมันเป็นสิ่งที่มองเห็นกัน
แต่เวลาเรารบกับใจของเราเอง เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรมที่เกิดขึ้นมาให้เราเห็นขึ้นมานี่ กิเลสมันปั้นแต่งได้ กิเลสมันอยู่กับเรา เห็นไหม เหมือนกับกองทัพที่รบกัน มีข้าศึกแฝงเข้ามาในกองทัพของเรามาสืบความลับ สืบต่าง ๆ ของเราไปบอกข้าศึกให้เขารู้วิธีการของเราทั้งหมดเลย การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่กับเรา เราจะตั้งปัญญาขนาดไหนนี่ กิเลสมันจะสร้างภาพว่าสิ่งนั้นจะเป็นสภาวะแบบนั้น เหมือนกับเรารู้ไปก่อน ๆ เห็นไหม อันนี้เป็นสัญญา
ถ้าสิ่งที่เป็นสัญญามันจะไม่เป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติ มันไม่เป็นประโยชน์เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสัญญา มันจะหลอกเราไปก่อน แต่สิ่งนี้เราจะปฏิเสธมันไม่ได้ ความผิดพลาดนี่มันเป็นครู ครูของเราจะสอนว่าสิ่งที่เราทำไปแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ มันไม่เป็นประโยชน์คือว่ามันไม่เป็นสภาวะตามความเป็นจริง มันเริ่มปล่อยวางไป ปล่อยวางตามให้กิเลสหลอกไง อันนี้ไม่เป็นสภาวะตามความเป็นจริง ถ้ามันปล่อยวางตามความเป็นจริง เห็นไหม มันจะขาดออกไป
สิ่งที่ขาดออกไปนี่ นั่นน่ะมันไม่มีข้าศึก ไม่มีแนวที่ ๕ เข้ามาในกองทัพของเรา เข้ามาในปัญญาของเรา เข้ามาในมรรคของเรา ถ้ามรรคของเรามันก้าวเดินออกไปพร้อมกับตัวตนของเรานี่ มันมีข้าศึกอยู่ในนั้น มันมีกิเลสคือตัวตนของเราเข้าไปคาดหมาย เข้าไปจินตนาการ ว่าสภาวะเป็นแบบนั้น ทุกคนเวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม จิตใต้สำนึกของคนมีความอยาก ทุกคนอยากเป็นคนดีหมด คนที่เขาปล้นเขาฆ่าเขาก็อยากเป็นคนดี แต่สภาวะของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น กรรมของเขาเป็นอย่างนั้นถึงเป็นไป
นี้ก็เหมือนกัน เราปฏิบัตินี่สัญชาตญาณของเราต้องการผลอยู่แล้ว แต่เราอย่าไปคาดหมายซ้ำสิ ถ้าเราคาดหมายซ้ำ นั่นน่ะตัณหาซ้อนตัณหา ความอยากซ้อนความอยาก ความอยาก ๒ เท่า ความอยาก ๒ ทบเข้าไปนี่ มันจะรุนแรงขนาดไหน แต่มันเป็นนามธรรม เราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้เรากำลังสร้างอุปสรรคขวากหนามขวางตัวเราเอง เราประพฤติปฏิบัติอย่าไปหวังผล
ความสละออก เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การสละออกมันเป็นผล เราสละออก เราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เราสละออกไปถึงเป็นผลของเราเพราะมันปล่อยวาง แต่โลกของเขาได้สิ่งใดมา ความได้ของเขามาถึงจะเป็นผลประโยชน์ของเขา เพราะเขาได้สิ่งนั้นมา เราสละออกไป
นี่ก็เหมือนกัน ผลที่เราต้องการเราไม่ต้องไปคาดหมาย ถ้าเราคาดหมายคือเราต้องการสิ่งนั้นมา นี่มันเป็นขวากเป็นหนามขวางเรา ถ้ามันขวางเรา เห็นไหม ตัณหาซ้อนตัณหา ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แต่เราไปซ้อน เราไปแสวงหาสมุทัยอีกตัวหนึ่งมาซ้อนเข้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกต้องละ แล้วเราทำไมไปปรารถนา เราไปหวังผลล่ะ?
เราทำโดยไม่ต้องหวังผล ทุกข์มันจะเป็นสภาวะแบบใดนี้ ทุกข์อันนี้เพื่อจะชำระทุกข์ของเรา ทุกข์การประพฤติปฏิบัติ การทำความสงบของใจ การทำความเพียรนี่มันเป็นงานอันเอกนะ งานนี้ทุกข์มาก เวลาปัญญามันเกิด เหมือนกับนักบริหารเลย เขาเครียดมากเพราะนักบริหารเขาบริหารนี่เขาต้องรับผิดชอบทั้งหมด
นี้ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันเกิด สิ่งนี้มันเหมือนกับเราบริหารใจของเรา เราบริหารหัวใจ เรายกขึ้นมาจนวิปัสสนา เราบริหารสิ่งนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจากภายใน เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของมัน เราถึงว่าทึ่งในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้รู้ได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นความภายใน นักวิทยาศาสตร์เขาใช้ความคิด ความคิดนี้มันยังคิดขึ้นมาได้ มันยังออกมาเป็นจิตแพทย์ได้ ความจิตแพทย์เขาคิดขึ้นมานี่ เขาใช้ความคิดรักษาสิ่งนั้นไป
แต่นี่มันเหนือสิ่งนั้น มันละเอียดกว่าสิ่งนั้น เพราะอะไร? เพราะถ้าใครไปพบเห็นสิ่งนี้แล้ว คนนั้นเป็นการพบใหม่ นี่พบโลกใหม่ เห็นไหม เขาแสวงหาอาณานิคมกัน นี่พบโลกใหม่ พบแผ่นดินใหม่ นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา เราพบเนื้อของใจของเราใหม่ พบใหม่เพราะอะไร? เพราะเราเป็นคนพบเอง นี่สมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างหนึ่ง มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างหนึ่ง ของครูบาอาจารย์ก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าของเราเกิดขึ้นมานี่ มันเป็นของใหม่เสมอเป็นของสดเสมอ เสมอจากหัวใจของเราที่โดนสิ่งนี้ปิดบังไว้หมด เราจะไม่เจอสภาวะแบบนี้เลย
แต่เพราะสิ่งนั้นมันเป็นจินตมยปัญญา ไม่เคยสภาวะแบบนี้ แล้วเราใคร่ครวญขึ้นมาจนเจอสภาวะแบบนี้ เราเป็นคนค้นพบไง เราเป็นคนค้นพบสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา เราเป็นคนค้นพบสิ่งที่อยู่ในร่างกาย เห็นไหม จิตใจนี้อยู่ในร่างกายของเรา เราว่ากายกับใจมันคนละอันกัน ทำได้ ถ้าเราทำความสงบของใจ นั่งสมาธินี่พอสงบเข้าไปจิตมันปล่อยหมด จิตนี่มันปล่อยกายหมดเลย ปล่อยโดยสมาธิส่วนหนึ่ง อันนี้พอปล่อยแล้วชั่วคราวเดี๋ยวมันก็เข้ามาสมานกันเหมือนเก่าอีก
แต่ถ้าการวิปัสสนานี่ มันพิจารณาเห็นกาย เห็นสภาวะของมันตามความเป็นจริง มันจะปล่อยขาด สิ่งที่ปล่อยปล่อยโดยปัญญาญาณ ปัญญาญาณอันนี้มันเกิดขึ้นมา มันจะปล่อยสภาวะแบบนั้น นี่ของที่อยู่กับเรา เราเกิดมาแล้วเอาหัวใจกับร่างกายนี่เดินไป เราทำงานก็ต้องพร้อมกายกับใจ สิ่งนี้พร้อมกันหมด ถ้าเราทำงานสักแต่ว่าทำเราจะเผลอ แล้วงานนั้นจะไม่เป็นงานขึ้นมา
นี่มันเกิดขึ้นมาพร้อมกัน สิ่งที่เขาค้นหากันเขาค้นหาโลกใหม่ เขาค้นหาไป แล้วมันพิสูจน์กันได้ แต่เราค้นหาโลกใหม่ของเรา เราค้นหาโลกหัวใจของเรา ในใจของเราถ้าเรารักษาโลกนี้หมด จบสิ้นออกไป แล้วมันจะเป็นเครื่องยืนยันไง พระโมคคัลลานะลงจากเขาคิชฌกูฏเห็นเปรตเห็นผี เวลาไปบอกองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก เราเห็นมานมนานแล้วแต่ไม่มีพยานหลักฐาน เราถึงไม่พยากรณ์ บัดนี้พระโมคคัลลานะเห็น เราเห็นมาก่อน สิ่งนั้นมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน
นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา นี่สัมมาสมาธิมันประจักษ์แก่ใจของเรา ไม่ต้องมีใครบอก เราใช้ปัญญาใคร่ครวญขึ้นมานี่มันปลดเปลื้องกิเลสออกไปจากใจ แต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ มันเป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เป็นพยานกับครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่หลวงตาเวลาท่านพูด ท่านบอกท่านพูดอยู่คนเดียว เหมือนกับท่านรู้อยู่คนเดียว ไม่มีใครเป็นพยานเลย
แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาสมกับสิ่งนั้น นั่นคุยกันรู้เรื่องไง นี่ค้นพบโลกใหม่เหมือนกัน คนละหัวใจนะ โลกของใครโลกของมัน โลกนี้คือหมู่สัตว์ จิตปฏิสนธินี่เกิดขึ้นมาในร่างกายของเรา แล้วหมุนไปตามธรรมชาติของมัน แล้วไม่มีใครค้นพบ เดินไป ใช้ชีวิตไปในวัฏฏะนี้ตามธรรมชาติของมัน แล้วย้อนทวนกระแสกลับมาค้นพบโลกใหม่ของตัวเอง แล้วทำลายโลกนี้ออกไปหมดสิ้น หักวัฏฏะออกไปหมด
นี่มันถึงว่าเป็นสมบัติส่วนตนไง เป็นธรรมส่วนบุคคลของใครของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเป็นของเรา เราก็จะได้ของเราขึ้นมา เห็นไหม เริ่มต้นจากว่าอาหารเป็นโทษหรืออาหารเป็นคุณ ถ้าสิ่งนี้เป็นคุณ คุณเพราะรักษาเยียวยากันไป แต่ถ้าติดมันเป็นโทษ แต่ถ้าพิจารณาเห็นประโยชน์ของมันจะเป็นคุณขึ้นมา แล้วจะเป็นคุณตลอดไป เอวัง